ก่อนหน้านี้เราเคยมีพูดถึงเรื่อง homonym ที่แบ่งออกเป็น homograph(คำพ้องรูป) กับ homophone(คำพ้องเสียง) ไปแล้วใช่ไหมคะ คำพ้องเสียงจะเข้าใจยากหน่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพ้องเสียง 2 คำที่เขียนคล้ายๆกันแต่มีความหมายต่างกัน วันนี้เราจะมาดูคำศัพท์พื้นฐานของข้อสอบโทอิคที่มือใหม่โทอิคอาจสับสนได้ง่ายค่ะ
They’re, There, Their
ก่อนอื่นเรามาดูความแตกต่างระหว่าง They’re, There, Their กันนะคะ คำศัพท์ 3 คำนี้เป็นคำที่แม้แต่เจ้าของภาษาเองก็สับสนค่ะ They’re, There, Their ทั้งหมดออกเสียงเหมือนกัน และพบบ่อยในบทความภาษาอังกฤษ อาจจะดูเหมือนง่าย แต่ต้องจำความแตกต่างไว้ให้ดีนะคะ เรามาดูกันเลยดีกว่าค่ะว่าแต่ละคำความหมายคืออะไร และสามารถแยกได้อย่างไร
คิดว่าทุกคนน่าจะเข้าใจคำว่า They’re ได้ไม่ยากค่ะ ‘they’ เป็นคำสรรพนามรูปพหูพจน์ที่ใช้แทนคนหรือสิ่งของ
“I have two friends. They have the same birthdays, what a coincidence!” (ฉันมีเพื่อนสองคน พวกเขาเกิดวันเดียวกันด้วย อะไรจะบังเอิญขนาดนี้)
จากตัวอย่างประโยคข้างต้น ‘they’ ใช้เรียกชี้เพื่อนของฉันสองคน ถ้าด้านหลัง ‘they’ ตามด้วย ‘are’ ที่เป็น Verb to be จะสามารถรวมกันแล้วย่อรูปเป็น ‘they’re’ ได้ค่ะ You ก็จะเป็น ‘you’re’ และ we ก็จะเป็น ‘we’re’ นะคะ
“Remember my friends with the same birthdays? They’re eating cake together!” (จำเพื่อนของฉันที่เกิดวันเดียวกันได้ไหม พวกเขากำลังกินเค้กด้วยกันอยู่!”)
‘There’ มีสองความหมายค่ะ ความหมายทั่วไปคือตำแหน่งที่อยู่ห่างออกไปหน่อย หรือสามารถแปลได้ว่า ‘ตรงนั้น ที่นั่น’ ซึ่งย่อมาจากการไม่มีอยู่ที่นี่ (there = not + here)
“Your car keys are not here, maybe they are over there” (“กุญแจรถของคุณไม่ได้อยู่ที่นี่ น่าจะอยู่ตรงนั้น”)
‘Their’ เป็นคำสรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของของ they เพราะฉะนั้นประโยค “The car belongs to them. (รถเป็นของพวกเขา)” สามารถเปลี่ยนมาใช้ their แล้วพูดว่า “That is their car. (นั่นคือรถของพวกเขา)” ได้ค่ะ
“Their cat climbed in the tree, and now he is stuck!” (“แมวของพวกเขาปีนต้นไม้ แล้วตอนนี้ก็ติดอยู่ ขยับไม่ได้!”)
Its กับ It’s
คำว่า its กับ it’s ทำให้เราสับสนได้ง่ายค่ะ หลายๆคนอาจจะรู้อยู่แล้วว่า เมื่อแสดงความเป็นเจ้าของ จะต้องเติม <’s> เช่น ‘John’s car’, ‘Melissa’s umbrella’ และไม่จำเป็นต้องใช้กับชื่อคน สามารถใช้กับคำนามทั่วไปได้ด้วย เช่น ‘The museum’s exposition’, ‘the theater’s play’ แต่ว่าเหตุผลที่อาจจะสับสนได้คือ it’s และสรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ its ค่ะ คำสรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของของ it คือคำว่า its ตามตัวอย่างประโยคด้านล่างเลยค่ะ
This car’s leather seats are it’s best feature. (X)
This car’s leather seats are its best feature. (O) (เบาะที่นั่งหนังของรถคันนี้เป็นลักษณะที่ดีที่สุดของมัน)
It’s เป็นตัวย่อของ ‘it is’ เหมือนกับที่เราย่อรูป ‘they are’ เป็น ‘they’re’ นั่นเองค่ะ
“The book is great, but the slow story is its biggest flaw” (“หนังสือดีมาก แต่เนื้อเรื่องที่ดำเนินช้าเป็นข้อบกพร่องที่จุดบกพร่องที่ใหญ่ที่สุดของมัน”)
ส่วน It’s กับ it is คือคำเดียวกันเลยค่ะ
“I didn’t do it! It’s his fault!” (“ฉันไม่ได้ทำ! เป็นความผิดของเขา!”)
Affect กับ Effect
สองคำนี้ความหมายใกล้เคียงกัน ข้อแตกต่างก็นิดเดียว ทำให้สับสนได้ง่ายค่ะ วิธีที่จะแยก affect กับ effect ได้ดีที่สุดคือ การจำประเภทของคำค่ะ effect เป็นคำนาม แปลว่า ‘ผลลัพธ์, ผลกระทบ’ แต่ affect เป็นคำกริยา แปลว่า ‘ส่งผลกระทบ’ ถ้าเราดูคำพ้องความหมายของสองคำนี้ จะทำให้เห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนเลยค่ะ
“The main effect of the flood is that many people ended up homeless” (“ผลกระทบหลักของน้ำท่วมคือการที่ผู้คนกลายเป็นไร้ที่อยู่”)
“The main result of the flood is that many people ended up homeless” (“ผลลัพธ์หลักของน้ำท่วมคือการที่ผู้คนกลายเป็นไร้ที่อยู่”)
“The flood affected people in many different ways” (“น้ำท่วมส่งผลกระทบผู้คนในหลายๆทาง”)
“The flood influenced people in many different ways” (“น้ำท่วมส่งอิทธิพลให้ผู้คนในหลายๆทาง”)
จากประโยคตัวอย่างด้านบนจะเห็นได้ว่า effect อยู่ตำแหน่งคำนาม และ affect อยู่ตำแหน่งคำกริยาค่ะ
Farther กับ Further
Farther กับ further เหมือนจะดูคล้ายๆกัน แต่มีข้อแตกต่างอยู่นะคะ ทั้งสองคำนี้มีความหมายเกี่ยวกับระยะทาง คำว่า farther หมายถึงระยะทางทางกายภาพ แต่ further หมายถึงระยะทางที่ใช้ในการเปรียบเทียบค่ะ
“I have never traveled farther than my own continent” (“ฉันไม่เคยไปเที่ยวไกลกว่าทวีปตัวเองเลย)
“I have come a lot further in my professional development since I started working” (“ตั้งแต่เริ่มทำงานมา ฉันพัฒนาความเชี่ยวชาญของตัวเองมาไกลมาก”)
ในประโยคตัวอย่างด้านบนจะเห็นว่า farther บ่งบอกระยะทางของสองสถานที่ก็คือ ‘บ้านเกิดตัวเอง’ กับ ‘ที่ที่เคยไปไกลที่สุด’ ในขณะที่ further ไม่สามารถบอกระยะทางแบบจริงๆได้ แต่ใช้กับการพัฒนาตัวเอง
Everything กับ Anything
นอกเหนือจากที่เราพูดไป ก็จะมีคำอีกมากมายที่ชวนงงและสับสน วันนี้เราจะปิดท้ายด้วย everything กับ anything ค่ะ ความแตกต่างของ everything กับ anything จะเหมือนกับกรณี everywhere กับ anywhere นะคะ
‘Everything’ จะหมายถึงทุกอย่างทั้งหมด โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ เช่น “He used everything to fix his bicycle, but it just wouldn’t work. (เขาใช้ทุกอย่างเพื่อซ่อมจักรยานของเขา แต่ว่ามันไม่ได้ผลเลย)” ซึ่ง ‘Everything’ ในที่นี้หมายถึงของทุกอย่างหรือทุกวิธีที่ซ่อมจักรยานได้ แต่ว่าทำยังไงก็ไม่ได้ผล
ส่วน ‘anything’ มีความหมายว่า ‘อะไรก็ได้’ แต่ไม่ได้หมายความว่าทั้งหมด เช่นถ้าพูดว่า “He can fix his bicycle with anything (เขาสามารถใช้อะไรก็ได้ซ่อมจักรยานของเขา)” ไม่ต้องสนใจว่าจะใช้อุปกรณ์อะไร แค่มีอะไรก็เอาอันนั้น หมายความว่าไม่ว่าเป็นอุปกรณ์อะไรก็ตามเขาก็ซ่อมได้
จำคำศัพท์พื้นฐานโทอิคชวนงงเหล่านี้ให้แม่นนะคะ
นอกเหนือจากที่เรียนกันวันนี้ ก็จะยังมีคำศัพท์โทอิคพื้นฐานที่น่าสับสนอีกเยอะเลยค่ะ คิดเป็นจำนวนอาจจะเท่ากับหนึ่งพจนานุกรมภาษาอังกฤษเลยก็ได้นะคะ ทั้งหมด 5 ตัวอย่างที่ยกมาในวันนี้เป็นเพียงตัวอย่างทั่วไป และเจอในข้อสอบโทอิคได้บ่อยๆค่ะ เราต้องรู้ความหมายอย่างละเอียดและหมั่นทบทวนคำศัพท์ที่คล้ายกันเหล่านี้เสมอ เพื่อไม่ให้ทำพลาดในข้อสอบโทอิคนะคะ พอเราได้จำคำศัพท์นึง แนะนำให้ลองหาในอินเตอร์เน็ตว่ามีคำที่คล้ายๆกันไหม ถ้ามี ให้จดเพิ่มไว้ด้วยนะคะ Riiid TUTOR เป็นกำลังใจให้ทุกคนค่ะ!
Riiid TUTOR เป็นโซลูชั่นที่ใช้เทคโนโลยี AI มาเพิ่มคะแนนโทอิคของทุกคนอย่างได้ผลจริง
ข้อสอบโทอิคอัพเดทล่าสุด วิดีโอเรียนฟรี รวมไปถึงวิธีการเรียนโทอิคที่เข้ากับคุณ ทั้งหมดนี้รวมครบในแอพ Riiid TUTOR เท่านั้น ลองเข้าไปดูได้เลย!